ตู้สารภาพบาป คุยกับบาทหลวงช่วยขัดเกลาจิตใจให้มีแรงสู้ต่อไป

Confession Box

ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี เชื่อว่าเราทุกคนรู้กันอยู่แล้ว แต่วิธีการสอนของแต่ละศาสนานั้นไม่เหมือนกัน ซึ่งตรงนี้เราคงตอบไม่ได้ว่าวิธีการใดผิดหรือถูก ดีหรือไม่ดีแบบไหน ศาสนาคริสต์เองมีพิธีกรรมอยู่เรื่องหนึ่งถือว่าน่าสนใจทีเดียว หากมองอีกแง่มุมหนึ่งพิธีกรรมนี้นับว่าเป็นกลไกสำคัญให้คนไม่กระทำผิดซ้ำอีก พร้อมกับใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ นั่นคือ ตู้สารภาพบาป ตู้สารภาพบาป หรือ ห้องสารภาพบาป สำหรับตู้สารภาพบาป หรือ ห้องสารภาพบาปนั้น จะตั้งอยู่ในโบสถ์คริสต์ หรือ วิหาร โดยอาจจะมีขนาด รูปร่างแตกต่างกันไป ในห้องจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน หนึ่งเป็นส่วนของผู้สารภาพบาป และอีกส่วนเป็นของหลวงพ่อ บาทหลวงประจำโบสถ์นั้น มีประตูทางเข้าคนละทาง และมีผนังกั้นไว้ไม่ให้เห็นหน้ากัน เราจะได้ยินเสียงเท่านั้นเอง พิธีการ พิธีการนี้มีอยู่ว่า หากผู้นับถือศาสนาคริสต์คนใด รู้สึกว่าตัวเองนั้นได้ทำบาปทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่นไป แล้วรู้สึกผิดบาปต่อการกระทำนั้น เราสามารถเข้าไปตู้สารภาพบาป จากนั้นจะมีหลวงพ่อมารับฟังบาปของเรา พร้อมกับให้อภัยและสั่งสอน ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง โดยที่ทั้งสองจะไม่เห็นหน้ากันเลย (เข้าคนละทาง) ตลอดการสนทนานั้น เมื่อเสร็จกิจก็แยกย้ายกันไปคนละทาง เหมือนกับตอนเข้ามา การอยู่กับบาปนับว่าเป็นทุกข์ การสารภาพบาปนี้ แน่นอนว่าไม่ได้ทำให้บาปที่เราทำนั้นลดลงหรือหายไปได้ แต่การสารภาพบาปเหมือนกับเป็นการระบายความผิด ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการทำบาปนั้นไว้กับตัวเอง การทำบาปนั้นเราย่อมเป็นทุกข์อยู่แล้ว แต่ยิ่งเราเก็บบาปไว้กับตัว จะยิ่งทำให้เราเป็นทุกข์มากขึ้นไปอีก การได้ระบายมันออกมาจะทำให้เราปลดเปลื้องความทุกข์ได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งบาทหลวงจะสั่งสอน ชี้แนะแนวทางจากพระเจ้า ช่วยให้เราได้รับพร ได้รับกำลังใจเพื่อเดินหน้าสู้ต่อไปในอนาคต บทเรียน และการเป็นคนดี ชีวิตนี้ผู้เขียนเองเชื่อว่าคงไม่มีใครไม่เคยทำความผิดอะไร เราทุกคนต้องเคยทำความผิดมาด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นโดยตรง โดยอ้อม ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การได้สารภาพบาปเป็นข้อดีอย่างหนึ่งก็คือ มันเป็นสัญญาณแสดงว่าเรารู้ตัวว่าสิ่งที่เราทำนั้นผิด เรารู้สึกผิดต่อบาปนั้น เมื่อเราสารภาพไปแล้วนั่นจะทำให้เรามองบาปนั้นเป็นบทเรียน เพื่อที่จะไม่เดินไปซ้ำรอยบาปนั้นอีก เมื่อเราลดการทำบาปลง เราก็จะเป็นคนที่ดีมากขึ้นตามแนวทางของศาสนา ถือว่า พิธีสารภาพบาปในตู้สารภาพบาปเป็นเครื่องมือสั่งสอน ให้อภัย สร้างกำลังใจคนได้เป็นอย่างดีทีเดียว

Read More

ทำไมศาสนาคริสเตียนถึงได้มีหลายนิกาย

Christians have many sects

ระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจของพระเยซูท่านได้สวดอ้อนวอนขอผู้ติดตามในอนาคตของเขาจะแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะเป็นประจักษ์พยานต่อชาวโลก แล้วมันก็อะไรขึ้นหลังจากนั้นกัน แทนที่จะเกิดความสามัคคี ความร่วมมือ แต่ในคริสเตียนเป็นที่รู้กันดีกว่ามีประวัติการไม่ลงลอยกันมาแต่อดีต มีการแบ่งพรรคพวกออกเป็นกลุ่มๆ ซึ่งมองจากภายนอกก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามัคคีกันดี พวกเขาแบ่งออกเป็นหลายร้อยกลุ่มต่างๆ มีโบสถ์และนิกายอยู่มากมายทั่วโลก สำหรับผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนดูเหมือนว่าจะสับสนว่าทำไมพวกเขาถึงแตกแยกย่อยออกมามากมายขนาดนี้ ทำไมพวกเขาถึงไม่รวมเป็นกลุ่มเดียวกัน ทำไมมีมีคริสตจักรต่างกันสี่แห่งบนถนนสายเดียวกัน นั่นจึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่าทำไมศาสนาคริสเตียนถึงได้มีหลายนิกาย ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องหลักขอให้ทำความเข้าใจเรื่องประวัติพื้นหลังก่อน ภายในศาสนาคริสต์มีสามสาขาหลักคือ อีสเทิร์นออร์โธด็อกซ์, โรมันคาทอลิก และโปรเตสแตนต์ ในสหรัฐอเมริกาจะนับถือคริสตจักรโรมันคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์มากที่สุด ในขณะที่คริสตจักรโรมันคาทอลิกแทบทุกแห่งมีความเชื่อรูปแบบและโครงสร้างที่เหมือนกัน แต่สำหรับนิกายโปรเตสแตนต์นั้นแตกต่างออกไป นอกจากนี้คริสตจักรบางแห่งยังพิจารณาตนเองว่าอยู่ในโปรเตสแตนต์ แต่ก็ไม่ได้เข้าร่วมกับนิกายเฉพาะใดๆ รวมถึงไม่ได้เป็นพันธมิตรกับนิกายอื่น (เช่นคริสตจักรในพระคัมภีร์หรือคริสตจักรชุมชน) เหตุผลการแยกย่อยของนิกายคริสเตียน อย่าลืมว่านิกายนั้นสร้างขึ้นจากคริสตจักร และคริสตจักรที่สร้างขึ้นจากผู้คน อย่างที่รู้กันดีว่าผู้คนนี่หละที่เป็นต้นเหตุของความแตกแยกซึ่งมักจะไม่ค่อยลงลอยกันเท่าไหร่ สิ่งนี้มักจะนำไปสู่ข้อขัดแย้งที่เป็นฉนวนการแบ่งแยกนิกาย มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่มันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่สุดถึงการแสดงออก บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมพระเยซูถึงให้ความสำคัญกับความรักและการให้อภัยอย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นการแสดงออกของคนที่เขาต้องการให้เราเป็น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแยกออกจากกัน ชาวคริสเตียนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะอยู่นิกายใดก็ยังแชร์หลักคำสอนที่เชื่อมโยงชาวคริสเตียนทุกคนเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นคริสตจักร นิกาย วัฒนธรรม หรือที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ จนในท้ายที่สุดผู้คนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันก็จะแสดงความศรัทธาต่อพระเจ้าเหมือนกันแต่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ชาวคริสเตียนมีความเชื่อในคำสอนของพระคัมภีร์อย่างมากที่เปิดเผยชัดเจนว่าใครเป็นพระเจ้า ลูกหลานทั้งหลายถูกสอนให้มีความศรัทธาต่อพระเจ้าโดยเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเป็นล้วนเป็นคนบาปมีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่ช่วยเราได้

Read More

ศาสนาคริสต์ มีกี่นิกาย ทำอะไรบ้างแตกต่างกันอย่างไร

denominations are Christianity

ศาสนาคริสต์ เหมือนกับในศาสนาอื่นทั่วโลกที่อาจจะมีแตกนิกาย แตกกลุ่มออกไป ตามหลักความเชื่อที่อาจจะมีการตีความแตกต่างกัน ซึ่งการแตกกลุ่มแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องผิด ไม่ได้เป็นเรื่องที่จะทำให้ศาสนาเสื่อมลงแต่อย่างใด กลับกันการทำแบบนี้จะทำให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเสียอีกด้วย ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีอายุยืนยาวนานจึงไม่แปลกที่จะมีการแตกนิกายออกไปบ้าง ซึ่งแต่ละนิกายแตกต่างกันอย่างไร แตกต่างกันเรื่องการตีความ คำสอนตามหลักศาสนานั้น เป็นสิ่งที่มีมานานมาก คำสอนเกือบทุกอย่างเป็นเรื่องราวนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้ ซึ่งนามธรรมนี่แหละที่ทำให้การตีความเกี่ยวกับความหมายของคำสอนแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน ศาสนาคริสต์เองก็เช่นกันนิกายที่แตกออกไปนั้น ส่วนใหญ่จะตีความเกี่ยวกับคำสอน ประวัติ และแนวทางการปฏิบัติแตกต่างกันไป จึงขอแยกออกจากนั้นเพื่อดำเนินตามเส้นทางที่ตัวเองวางไว้ดีกว่า โรมันคาทอลิก กับ โปรเตสแตนต์ สองนิกายที่ชื่อน่าจะคุ้นหูคนไทยมากที่สุดก็คือ นิกายโรมันคาทอลิกกับนิกายโปรเตสแตนต์ พวกเค้ามีความแตกต่างกันหลายอย่างเลย หนึ่งความเชื่อโรมันคาทอลิกจะให้ความรัก ความศรัทธานับถือ พระเยซูมาก่อน จากนั้น พระนางมารีย์พรหมจารี (พระแม่มารี) จะได้รับความรัก ความนับถือในระดับใกล้เคียงกัน เนื่องจากเชื่อกันว่าพระแม่มารีเปรียบได้พระมารดาของพระเยซูเธอเปรียบได้รับวีรสตรีตามความเชื่อในประวัติของศาสดา กลับกัน นิกายโปรเตสแตนต์ไม่ได้นับถือพระแม่มารีย์ พวกเค้านับถือแต่พระเยซูองค์เดียวเท่านั้น สองโลกหลังความตาย โรมันคาทอลิกเชื่อว่า พอตายแล้วเราจะต้องเดินทางไปแดนชำระก่อนเพื่อจัดการเรื่องความดี ความชั่ว บาปเสียก่อน จึงจะไปสวรรค์ได้ รวมถึงการจะขึ้นสวรรค์ได้นั้น ต้องเกิดจากความเชื่อ ความศรัทธา + การกระทำความดีควบคู่กันด้วย จึงจะครบถ้วนไปสวรรค์ได้ แต่ฝั่งโปรเตสแตนต์ เชื่อว่าแดนชำระไม่มีอยู่จริง การขึ้นสวรรค์เกิดจากความเชื่อและแรงศรัทธาของตนที่มีต่อพระเยซู ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำแต่อย่างใด สามพิธีกรรมทางศาสนากลุ่มโรมันคาทอลิก มีพิธีกรรมอยู่ 7 อย่างด้วยกันคือ ศีลล้างบาป, ศีลกำลัง, ศีลมหาสนิท, ศีลอนุกรม, ศีลสมรส, ศีลอภัยบาป และ ศีลเจิมผู้ป่วน ส่วนฝั่งโปรเตสแตนต์มีพิธีกรรมเพียงสองอย่างเท่านั้นคือ พิธีศักดิ์สิทธิ์ และ พิธีมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ อาจจะมีพิธีกรรมอื่นแต่ไม่ได้ยกระดับถึงขั้นเรียกว่าศีล นับว่าเป็นพิธีกรรมทั่วไปเท่านั้น จะเห็นว่า ความเชื่อที่แตกต่างกันในรายละเอียดทำให้ พิธีกรรม การแสดงออก ความเข้าใจ การตีความ รวมถึงการบริหารกลุ่มนิกายแตกต่างกันไปด้วย แต่พวกเค้ามีจุดมุ่งหมายร่วมกันก็คือ การนับถือพระเยซูอันเป็นศาสดาสูงสุดของพวกเค้าเอง

Read More

ทำไม คริสเตียน ควรไปโบสถ์

Why should Christians go to church

ความเชื่อแนวคิดทางด้านศาสนาจะมีเรื่องของพิธีกรรม หลักธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ หากเราไม่ได้ศึกษาแนวคิดของศาสนาอื่นก็คงจะไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดเค้าจึงต้องทำแบบนั้น อย่างเช่น คนนับถือพุทธอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมคนคริสต์ต้องไปโบสถ์ด้วย เพื่อให้เข้าใจตรงกันเราจะมาอธิบายเพื่อให้เข้าใจตรงกัน เราไปโบสถ์เพื่อความสามัคคี การไปโบสถ์ถือว่าเป็นกุศโลบายอันแยบคายอย่างหนึ่ง ไปโบสถ์จะเป็นเหมือนการเชื่อมความสัมพันธ์ของคนนับถือพระเจ้าเหมือนกัน หากจะแปลเป็นแนวคิดของพุทธ การไปโบสถ์เป็นการสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่คริสเตียนด้วยกัน การได้พบปะซึ่งกันและกัน การทานของว่างร่วมกัน จะทำให้เกิดความสามัคคีร่วมกันได้ง่าย ถามว่าทำไมต้องไปโบสถ์วันอาทิตย์ด้วย ไม่ไปผิดไหม คำตอบคือไม่ผิด ส่วนวันอาทิตย์เกิดจากคำสอนว่า วันอาทิตย์เป็นวันพิเศษ เราควรละกิจกรรมทั้งหมดเพื่อเข้าไปศึกษาพระคัมภีร์ หรือ อวยพรแก่พระเยซู เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองเดินทางเข้าสู่เส้นทางของมารร้าย ไปโบสถ์เพื่อศึกษาศาสนา ทุกครั้งเวลาไปโบสถ์ คริสเตียน จะแบ่งออกเป็นกลุ่มตามช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ จากนั้นพวกเค้าจะเข้าห้องเพื่อศึกษาคริสตศาสนาตามระดับการเรียนรู้ของตัวเอง เด็กอาจจะเข้าไปดูการ์ตูน ดูหนังเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ขยับขึ้นมาหน่อยอาจจะเป็นการศึกษาพระคัมภีร์ ส่วนผู้ใหญ่จะเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในการตีความหัวข้อ แนวคิดเพื่อให้เข้าใจตรงกัน รวมถึงแตกแนวคิดออกไปให้กว้างไกลมากขึ้น วิธีนี้มีข้อดีคือทุกคนจะรู้สึกว่าการเรียนรู้เรื่องศาสนาไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง คริสต์ศาสนาจะไม่ใช่เรื่องยาก อีกต่อไป อวยพรร่วมกัน เมื่อเราได้ศึกษาคัมภีร์ ศึกษาศาสนาตามระดับของตัวเอง คริสเตียน จะใช้ช่วงเวลาต่อจากนั้นเป็นการเข้าห้องร่วมกัน อาจจะเป็นห้องโถง ไปจนถึงห้องประชุมขนาดใหญ่ (ตามขนาดของโบสถ์) มากันครบคริสเตียนจะทำการอวยพรต่อพระเยซูร่วมกัน เหล่าคริสเตียนเชื่อว่าการได้อวยพรร่วมกันจะเหมือนรวมพลังกันเพื่ออวยพรส่งไปถึงพระเจ้าบนสรวงสวรรค์อีกทางหนึ่งพระเจ้าท่านก็จะประทานพรกลับมาให้กับเราด้วยเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมของคริสต์ หากเราเป็นคนหนึ่งที่อยากจะศึกษาคริสต์ศาสนา เราจะไปที่ไหนดี คำตอบก็ถือโบสถ์ หากเราได้ไปโบสถ์เพื่อขอเข้าไปศึกษาศาสนา รับรองได้เลยว่าจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเค้าจะมีพื้นที่พิเศษเพื่อให้เราได้เห็นพิธีกรรมทางความเชื่อของคริสต์อย่างเต็มที่ ดังนั้นโบสถ์ก็เป็นเหมือนกับที่แสดงกิจกรรมของคริสต์ให้เราเห็นไม่ว่าจะเป็นการสารภาพบาป การอวยพรต่อพระเจ้า การแสดงความรักซึ่งกันและกัน ฯลฯ

Read More

มหาวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน โบสถ์อันยิ่งใหญ่ของคาทอลิ

Basilica of St. John Latte run

ศาสนาคริสต์นอกจากแนวคิดคำสอนแล้ว อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของพวกเค้าต้องเป็นเรื่องของโบสถ์ ศาสนสถานของพวกเค้าด้วย โบสถ์ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์มีหลากหลายแบบ แต่ละหลังต่างก็มีความสวยงามแตกต่างกันไป วันนี้เราจะพาไปรู้จัก โบสถ์ยิ่งใหญ่สุดหลังหนึ่งของศาสนาคริสต์ ณ กรุงโรมประเทศอิตาลี อัครมหาวิหารนักบุญ โบสถ์แห่งนี้ถูกจัดอันดับให้เป็น อัครมหาวิหารนักบุญ อันยิ่งใหญ่ตั้งอยู่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ชื่อว่า อัครวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่นอกเขตวาติกันไปไม่ไกลมากนักเพียงแค่ 4 กิโลเมตรเท่านั้นเอง เดินทางออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ อัครมหาวิหารแห่งนี้เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม ด้านในมีการรูปปะติมากรรมอันสวยงามวางอยู่ด้วย ความสำคัญของมหาวิหาร วิหารแห่งนี้ไม่เพียงแต่ความสวยงามเท่านั้น ความสำคัญของวิหารแห่งนี้นับว่าอยู่จุดสูงสุดก็ไม่ผิดนัก อย่างแรก มหาวิหารแห่งนี้ถูกยกให้เป็นโบสถ์แม่ของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกด้วย หมายความว่า โบสถ์นี้คือตำแหน่งสูงสุด เก่าแก่สุด มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาสำคัญสุดของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกด้วย สูงกว่าวิหารทั้งสี่ในกรุงโรมอีกด้วยไม่เพียงเท่านั้นอัครมหาวิหารแห่งนี้ยังทำหน้าที่เป็น วิหารประจำของ มุขนายกประจำกรุงโรมด้วย ปะติดมากรรมภายในโบสถ์ มองจากด้านนอกว่าสวยงาม ด้านในยังมีไฮไลต์เด็ดด้วย นั่นคือ แหล่งรวมปะติมากรรมเหล่าอัครเทวทูตทั้ง 12 แนวคิดการสร้างอัครเทวทูตทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องราวใหญ่โต ยากมาก แต่งานก็สำเร็จลุล่วงไปได้เนื่องจากทีมงานได้มีการเปิดรับให้ช่างสลักเข้ามาร่วมงานมากมาย อีกทั้งเจ้าชายหลายพระองค์ทั่วยุโรปได้เข้ามามีส่วนร่วมขอเป็นเจ้าภาพดูแลการสร้างอัครเทวทูตแต่ละองค์ด้วย จนทำให้งานดำเนินเสร็จเร็วขึ้น ยกตัวอย่างเช่น องค์พระสันตะปาปา รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพรูปปั้นแกะสลักนักบุญเปโตร เป็นต้น ภายในโบสถ์เราจะเห็นนักอัครเทวทูตดังนี้ นักบุญบารโธโลมิว, นักบุญยากอบ บุตรเศเบดี, นักบุญเปาโล, นักบุญซีโมนเปโตร, นักบุญซีโมนเศโลเท, นักบุญยูดาอัครทูต, นักบุญฟีลิป, นักบุญโธมัส, นักบุญยากอบ บุตรอัลเฟอัส, นักบุญอันดรูว์, นักบุญยอห์น และนักบุญมัทธิว จากเรื่องราวของอัครมหาวิหารแห่งนี้ หากใครเป็นคนมีความเชื่อศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกการได้ไปสักการะโบสถ์แห่งนี้สักครั้งน่าจะเป็นเป้าหมายสูงสุด กลับกันหากไม่มีโอกาสได้ไป เราสามารถเข้าไปเยี่ยมชมอัครมหาวิหารแห่งนี้ได้บนโลกออนไลน์ ในเว็บไซต์ของวิหารนั้นเอง มีทั้งภาพถ่าย เรื่องราว ประวัติ บรรยากาศภายในห้องแต่ละส่วนให้เสพกันเต็มอิ่ม

Read More

ความเป็นมาของพิธีศีลล้างบาป เพื่อเข้าสู่การเป็นคาทอลิกแบบเต็มตัว

Baptism In Bkk Thailand

ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก คือ มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ล้วนมีบาปมาตั้งแต่กำเนิด เพราะการกระทำผิดของมนุษย์คู่แรกของโลก อดัมและอีฟ ที่ฝ่าฝืนคำสั่งไปกินแอปเปิ้ลในสวนเอเดน เพราะฉะนั้น การที่คุณจะเข้ามาเป็นหนึ่งในคริสตชน จำเป็นต้องรับศีลล้างบาปเพื่อทำให้มีแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ ความเป็นมาของพิธีศีลล้างบาป โดยพิธีนี้มาจากความเชื่อของชาวอิสราเอลในสมัยโบราณ ตั้งแต่ยุคพันธสัญญาโน่น ในสมัยนั้นมีความเชื่อว่า การชำระล้างด้วยน้ำสะอาด เป็นเครื่องหมายของการชำระล้างทางจิตใจ โดยเริ่มมาจากพระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์น ณ แม่น้ำจอร์แดน นอกจากนี้พระเยซูเคยมีคำสั่ง แก่ที่ผู้เป็นสาวก ต้องได้รับศีลล้างบาปในนามของ พระบิดา พระบุตร พระจิต จึงทำให้ชาวคริสต์ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงชาวคริสต์ในปัจจุบัน ได้ถือสืบทอดปฏิบัติตามกันมา เนื่องจากเชื่อว่าเป็นการชำระตัวเองให้บริสุทธิ์จากบาปทั้งหลาย เป็นการยืนยันความเชื่อในพระคริสต์เจ้า พิธีศีลล้างบาป เอกลักษณ์ของพิธีนี้คือการใช้น้ำ โดยผู้รับศีลล้างบาปอาจทำได้ตั้งแต่เป็นเด็กทารก หรือทำตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้ แต่ตอนเป็นผู้ใหญ่จะดีกว่า เนื่องจากเป็นการกระทำด้วยความศรัทธาของตนเองอย่างแท้จริง ต่อมา ผู้ที่ทำพิธีคืออธิการโบสถ์หรือผู้ที่คุณพ่อได้มอบหมายได้ทั้งนั้น แม้แต่ในยามใกล้ตายก็สามารถโปรดศีลล้างบาปได้ทั้งนั้น และ ผู้โปรดศีลล้างบาปต้องทำให้ถูกต้องทุกประการ ไม่อย่างนั้นก็ถือว่าเป็นโมฆะ ทางฝั่งผู้รับศีลล้างบาป จะต้องมีพ่อแม่ทูนหัวซึ่งไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ โดย พ่อแม่ทูนหัวนี้ จะทำหน้าที่ประคองศีรษะของผู้รับศีลล้างบาป ในขณะที่ผู้โปรดศีลล้างบาปจะเทน้ำราดลงบนศีรษะ และผู้ที่ได้รับเป็นพ่อแม่ทูนหัว จะต้องดูแลลูกทูนหัวในเรื่องของทางจิตวิญญาณ ไปจนลูกทูนหัวสามารถช่วยตัวเองได้ นอกจากนี้ พ่อแม่ทูนหัวจะแต่งงานกับลูกทูนหัวของตัวเองไม่ได้อย่างเด็ดขาด การทำพิธีล้างบาปจะทำในวันคืนวันปาสกา , วันอาทิตย์ ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ทุกคนต้องผ่านพิธีนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อเป็นการยืนยันว่าตนเองได้เข้ามาเป็นสมาชิกของศาสนาจักรแล้ว ถึงจะสามารถรับศีลอื่นๆ ได้ และ การรับศีลล้างบาปนี้สามารถทำได้เพียงแค่ครั้งเดียวตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น แล้วกลับมานับถือศาสนาคริสต์อีกก็ไม่ต้องรับศีลนี้ เนื่องจากได้ทำการล้างบาปไปแล้วนั่นเอง

Read More

St. Peter’s Basilica 1 ใน 4 ของมหาวิหารหลักในเมืองโรม แห่งนครรัฐวาติกัน

PeterS Basilica White

St. Peter’s Basilica หรือชาวอิตาลีจะรู้จักกันในชื่อ Basilica di San Pietro in Vaticano เป็นมหาวิหารเอกซึ่งเป็น 1 ใน 4 แห่งในกรุงโรม แห่งนครรัฐวาติกัน และอีก 3 มหาวิหาร ได้แก่ Basilica of St. John Lateran , St. Mary Major และ Basilica of St Paul Outside the Walls ประวัติความเป็นมาของ St. Peter’s Basilica St. Peter’s Basilica เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่และมีความสำคัญที่สุด แห่งนครรัฐวาติกัน โดยได้ทำการสร้างทับวิหารเดิมในชื่อเดียวกัน โดมของมหาวิหารแห่งนี้มีความสูงเป็นสง่าสามารถมองเห็นได้แต่ไกลตั้งแต่ในตัวเมืองโรมเลยทีเดียว St. Peter’s Basilica ตั้งอยู่ในเนื้อที 2.3 เฮกตาร์ จุคนได้มากกว่า 60,000 คน จัดเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งในคริสตจักรโรมันคาทอลิก ส่วนสถานที่ตั้งโบสถ์แห่งนี้ มีความเชื่อกันว่าเป็นที่ฝังร่างของนักบุญ St. Peter ซึ่งเป็นหนึ่งในอัครทูตของพระเยซู คริสตจักรถือว่านักบุญ St. Peter เป็นบิชอปองค์แรกของ Antioch ต่อมาก็ได้สถาปนาขึ้นเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของโรม เนื่องจากนิกายโรมันคาทอลิกเชื่อกันว่าร่างของ St. Peter ถูกฝังไว้ ณ โบสถ์แห่งนี้ มหาวิหารซึ่งยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มสร้าง ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1506 บนโบสถ์แบบ Constantine และสร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1626 เดิมทีนั้นมหาวิหารนักบุญ St. Peter…

Read More

หอล้างบาปในศาสนาคริสต์ รู้ไว้ไม่เสียหลาย

Baptism hall in

หอล้างบาป ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Baptistery หรืออีกชื่อหนึ่งคือ หอศีลจุ่ม จัดเป็นศาสนสถานของศาสนาคริสต์ หอล้างบาปอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์ก็ได้ หรือจะเป็นอาสนวิหารเป็นของตนเองก็ได้ ในช่วงยุคแรกหอล้างบาปเป็นสถานที่สำหรับผู้จะเข้ามาศึกษาศาสนาก่อนจะรับศีลล้างบาป และเป็นที่ทำพิธีล้างบาปนั่นเอง การสร้างหอล้างบาปให้มีความสวยงามเป็นการบ่งบอกถึงความสำคัญของพิธีล้างบาปในศาสนาคริสต์ โดยหอล้างบาปแห่งแรกเป็นหอล้างบาปทรงแปดเหลี่ยมของ นักบุญ ยอห์น ลาเตรัน ซึ่งกลายมาเป็นแม่แบบของหอล้างบาปที่สร้างต่อๆ กันมา แต่บางครั้งก็มีทรงสิบสองเหลี่ยม หรือทรงกลม ให้เห็นบ้าง หอล้างบาปของมหาวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรันเป็นหอล้างบาปอันเก่าเก่าแก่ที่สุดที่ยังเปิดใช้อยู่ โดยตรงกลางหอเป็นอ่างล้างบาปทรงแปดเหลี่ยมประดับด้วยหิน Porphyry สีม่วงแดง หัวเสาทำมาจากหินอ่อนและการตกแต่งเป็นแบบคลาสสิกของกรีกโรมัน ในบริเวณโถงทางเข้าใช้สำหรับศึกษาคำสอนและสารภาพความศรัทธาก่อนจะทำการรับศีลล้างบาป ผู้รับศีลจะลงไปใต้น้ำสามหน โดยเป็นบันไดสามขั้นลงไป ด้านบนเหนืออ่างจะมีนกพิราบสีทองหรือสีเงินห้อยอยู่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ส่วนจิตรกรรมฝาผนังมักจะเป็นเรื่องราวชีวิตของนักบุญยอห์น อ่างล้างบาปในช่วงแรกมักทำด้วยหิน แต่ต่อมาก็มีการเปลี่ยนมาใช้โลหะบ้าง หอล้างบาปเริ่มขึ้นในสมัยมีผู้เข้าศาสนาเป็นผู้ใหญ่จำนวนมาก โดยต้องรับศีลล้างบาปก่อนเป็นคริสต์ศาสนิกชนอย่างเต็มตัว และมีกฎบังคับว่าต้องเป็นการดำลงไปใต้น้ำไม่ใช่แค่การพรมน้ำอย่างสมัยหลัง ด้วยเหตุนี้หอล้างบาปจึงมักสร้างติดกับมหาวิหารซึ่งเป็นโบสถ์ของบิชอป หอล้างบาปสร้างกันภายหลังสมัย Constantin ซึ่งได้ประกาศว่าเป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิโรมัน มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 ต่อมาจำนวนเด็กเข้ารับการล้างบาปมีเพิ่มขึ้น แต่การสร้างหอล้างบาปกลับน้อยลง หอล้างบาปเดิมก็มีขนาดใหญ่มากสามารถใช้เป็นที่ประชุมสังคายนาได้เลย นอกจากนั้นการทำพิธีศีลล้างบาปหมู่ก็ทำแค่สามครั้งต่อปีเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่าในแต่ละครั้งก็จะมีผู้เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก ภายหลังการเปลี่ยนจากการดำน้ำลงไปทั้งตัวมาเป็นการพรมน้ำทำให้การใช้พื้นที่ของหอล้างบาปขนาดใหญ่นั้นลดน้อยลง แต่ในปัจจุบันนี้ก็มีการทำแบบดั้งเดิมอยู่บ้าง เช่น ในเมือง ฟลอเรนซ์ และเมืองปีซา เป็นต้น

Read More

มาทำความรู้จักเบื้องต้นเกี่ยวกับโบสถ์ของศาสนาคริสต์กันเถอะ

ศาสนาคริสต์ มีโบสถ์เป็นศาสนสถานใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ โบสถ์ หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Church สร้างขึ้นเพื่อนมัสการต่อพระเจ้า คำว่าโบสถ์ ยังหมายความว่า บ้านของพระเจ้า อีกด้วย นั่นคือ บ้านที่มีไว้เพื่อให้เหล่าคริสตชน ได้มาชุมนุมพร้อมกับประกอบพิธีกรรมนมัสการพระเจ้า ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์อันสำคัญอย่างหนึ่งของศาสนาคริสต์ ส่วนต่างๆของโบสถ์ โบสถ์ มาจากคำว่า ekklesia ซึ่งเป็นภาษากรีก ความหมายคือ ผู้ได้รับเรียกให้รวมตัวกัน ซึ่งขยายความได้ว่า โบสถ์เป็นสถานที่ให้การต้อนรับสำหรับผู้มาชุมนุม นั่นเอง ส่วนต่างๆของโบสถ์มี ดังนี้ ลานหน้าโบสถ์ ลานหน้าโบสถ์จัดเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง เพราะลานนี้เป็นด่านแรก อันแสดงออกถึงการต้อนรับ เพราะฉะนั้นการออกแบบ ลานหน้าโบสถ์จึงมักมีเสาตั้งเรียงรายรองรับซุ้มโค้งรอบด้าน หรือแบบอื่นๆ ที่มีความคล้ายคลึงกัน ในบางครั้งก็ใช้ลานนี้ประกอบพิธีกรรมต่างๆด้วย ระเบียงทางเข้าสู่โบสถ์และประตูโบสถ์ ก่อนจะเดินเข้าสู่ภายในโบสถ์ จะต้องเดินผ่านระเบียงทางเข้าที่เรียกว่า Atrium หรือ Nathex เสียก่อนถึงจะเจอประตูทางเข้า ซึ่งระเบียงนี้ คือ บริเวณให้การต้อนรับผู้มาร่วมพิธีซึ่งเปรียบเหมือน มารดากำลังต้อนรับลูกๆ ของพวกเธอ ส่วนประตูทางเข้าโบสถ์ก็เปรียบได้ดั่ง พระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นประตูของบรรดาแกะทั้งหลาย หอระฆัง และระฆังโบสถ์ สำหรับใช้สอยในพิธีกรรมต่างๆ รูปพระ เช่น พระรูปของพระคริสตเจ้า พระแม่มารี นักบุญต่างๆ รูปเหล่านี้ต้องจัดวางในลักษณะไม่ทำให้เหล่าคริสตชน วอกแวกไปจากการประกอบพิธีที่กำลังดำเนินอยู่ และไม่ควรมีเยอะเกินไป นอกจากนี้จะต้องไม่มีรูปนักบุญองค์เดียวกันมากกว่าหนึ่งรูป รวมทั้งต้องมีขนาดเหมาะสมด้วย อ่างน้ำเสก เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงศีลล้างบาปที่เหล่าคริสตชนได้รับ จึงต้องตั้งไว้ตรงทางเข้าโบสถ์ให้เห็นได้ชัดๆ ­รูปสิบสี่ภาค ให้ประดิษฐานไว้ในโบสถ์ หรือสถานที่เหมาะสม เครื่องเรือนศักดิ์สิทธิ์ การประกอบพิธีกรรมของศาสนาคริสต์ ใช้อุปกรณ์หลายอย่างทั้งอุปกรณ์แบบถาวรและแบบเคลื่อนย้ายได้ มีทั้งเครื่องเรือนหรือภาชนะ เราเรียกอุปกรณ์เหล่านี้ว่า เครื่องเรือนศักดิ์สิทธิ์ โดยอุปกรณ์เหล่านี้มีไว้ใช้สอยในระหว่างการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ศาสนาคริสต์ในประเทศไทยนั้นมีหลายนิกายด้วยกัน แต่ละนิกายก็แตกต่างกัน นิกายที่นับถือกันมากมีอยู่ 2 นิกาย คือ นิกายโรมันคาทอลิกและนิกายโปรเตสเเตนต์ ในนิกายโรมันคาทอลิคจะเรียกศาสนสถานของตนเองว่า โบสถ์ เช่น โบสถ์พระแม่มารี ตกแต่งด้วย สถาปัตยกรรมยุโรป ประดับด้วยรูปปั้นต่างๆ…

Read More

หลักธรรมในศาสนาคริสต์ ที่ต้องอ่านเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี แต่ล่ะศาสนานั้นก็มีหลักธรรมคำสั่งสอนแตกต่างกัน วันนี้เราจะมาศึกษาเกี่ยวกับหลักธรรมคำสั่งสอนของศาสนาคริสต์ว่าหลักธรรมใดบ้าง ที่สามารถมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ยังสามารถเข้าใจได้ง่ายอีกด้วย หลักตรีเอกานุภาพ หลักธรรมในข้อนี้สอนว่าให้นับถือในพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งพระเจ้าองค์นั้นก็คือพระยะโฮวา หรือเรียกอีกชื่อว่า พระยาเวห์ แต่พระเจ้าได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 พระบุคคล ได้แก่ พระบิดา เป็นผู้สร้างโลก ผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ สถานะของพระองค์มีความเป็นนิรันดร์ พระบุตร หรือ พระเยซู ผู้ถูกส่งให้ลงมาเกิดยังโลกมนุษย์เพื่อเผยแผ่คำสอนของพระเจ้าให้แก่มนุษย์โลก พระจิต  คือ พระเจ้าผู้ทรงสถิตย์อยู่ภายในจิตใจของชาวคริสต์ทุกคน ซึ่งคอยเตือนสติให้กระทำแต่ความดี หลักบัญญัติ 10 ประการ เป็นหลักธรรมที่ได้รับความนิยม และ ยึดถือนำไปปฏิบัติมากที่สุด เพราะเป็นหลักธรรมอันเข้าใจได้ง่าย สามารถนำไปใช้ได้จริง มีทั้งหมด 10 ประการ ดังนี้ นับถือพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว อย่าเอ่ยพระนามของพระเจ้าโดยไม่จำเป็น วันพระเจ้าให้จำว่าเป็นวันที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ให้ความเคารพนับถือบิดา-มารดา ห้ามฆ่ามนุษย์ ห้ามผิดประเวณีกับผู้อื่น ห้ามลักขโมย ห้ามพูดร้าย หรือนินทาผู้อื่นด้วยความอันเป็นเท็จ อย่ามีความคิดในทางไม่ดี อย่ามีความโลภให้ตัวเอง หลักความรัก จงรักผู้อื่นเหมือนกับรักตนเอง ปรารถนาที่จะเห็นผู้อื่นมีความสุข มีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น รู้จักการให้อภัยซึ่งกัน  และยินดีอย่างสุดหัวใจเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี หลักความรักในศาสนาคริสต์แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ 1.ความรักของมนุษย์ กับพระเจ้า เปรียบได้ดังเช่นความรักของ พ่อ กับ ลูก 2.ความรักของมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์ด้วยกัน พระเยซูสอนให้รักเพื่อนบ้าน หรือก็คือ รักมนุษย์ทั้งโลก เรียนรู้ที่จะรักศัตรู รู้จักการให้อภัยและเสียสละ หลักบาปกำเนิด หลักการนี้สามารถสรุปได้สั้นๆว่า แม้มนุษย์จะสร้างบาปแค่ไหนแต่พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยให้เสมอๆ โดยการส่งพระเยซูลงมาเพื่อไถ่บาปให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย เพราะจิตใจของมนุษย์ยังมีความเข้มแข็งไม่มากพอจึงจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า คนเราจะดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขนั้น ต้องมีหลักธรรมยึดเหนี่ยวภายในใจ ซึ่งหลักธรรมนั้นต้องสอนให้คนเป็นคนดี รู้จักมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์แม้แต่สรรพสัตว์เองก็เช่นเดียวกัน หลักธรรมของศาสนาคริสต์ที่กล่าวมาดังข้างต้นนั้นเข้าใจได้ง่าย และ สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน

Read More